การส่งเสริมและยกระดับวิชาชีพครู
การส่งเสริมและพัฒนาครู
ในสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏในปัจจุบัน
วิชาชีพครูกลับเป็นวิชาชีพที่คนทั่วไปดูหมิ่นดูแคลน เป็นวิชาชีพที่รายได้ต่ำ
ผู้ประกอบวิชาชีพครูยากจน ผู้ปกครองที่มีการศึกษาสูงและมีฐานะดี
ไม่ประสงค์จะให้บุตรหลานของตนศึกษาเพื่อออกไปประกอบวิชาชีพครู
เยาวชนที่สำเร็จการศึกษาชั้น ม. 6
ก็ไม่ประสงค์ที่จะสมัครเรียนในสาขาวิชาชีพครู
ผู้สมัครเรียนในสาขาครูจึงมักเป็นผู้ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ
เมื่อไม่สามารถสอบเข้าเรียนในสาขาวิชาชีพอื่นได้แล้วจึงจะสมัครเรียนเพื่อออกไปเป็นครู
ปัญหาเกี่ยวกับวิชาชีพครูอาจสรุปได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
ปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการผลิต เช่น
ปัญหาอันเนื่องมาจากตัวป้อนเข้าของกระบวนการ ผลิตครู
กระบวนการเรียนการสอนนักศึกษาครู การกำหนดคุณลักษณะของบัณฑิตครู
และการควบคุมให้บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษามีคุณลักษณะตามที่กำหนด เป็นต้น
ปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการใช้ครู เช่น ปัญหาเกี่ยวกับการส่งเสริมสนับสนุนด้าน
งบประมาณ การบำรุงขวัญกำลังใจครูดี การติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน
การมีส่วนร่วมของชุมชนในการใช้ครู เป็นต้น
ปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการเพื่อให้การผลิตและการใช้ครูเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล
เช่น ปัญหาความด้อยประสิทธิภาพของผู้บริหาร
การขาดระบบการตรวจสอบและประเมินผู้บริหารการไม่มีส่วนร่วมในการบริหารงานของท้องถิ่น
การขาดแคลนทรัพยากรเพื่อการบริหาร รวมทั้งการขาดสถาบันพัฒนาผู้บริหารระดับมืออาชีพ
เป็นต้น
1. ปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการผลิต
สถาบันผลิตครูไม่สามารถผลิตครูให้มีคุณลักษณะตามที่สังคมต้องการได้
สาเหตุสำคัญที่ทำให้การผลิตครูมีประสิทธิผลต่ำอาจสรุปได้ 5 ประการดังนี้
1. คนเก่งไม่เรียนครู
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า คนเก่ง ส่วนใหญ่ไม่สนใจเป็นครู
จากข้อมูลการเลือกเข้าเรียนต่อของผู้สมัครสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ปี การศึกษา 2539 ผู้สมัครส่วนใหญ่จะเลือกคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์เป็นอันดับสุดท้าย
มีเพียงร้อยละ 19 ที่เลือกคณะครุศาสตร์เป็นอันดับ 1 และนักศึกษาครู มีผลการเรียนในระดับปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ
จากข้อมูลเกรดเฉลี่ยในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของนักศึกษาครูในสถาบันราชภัฏ(ซึ่งเป็นสถาบันผลิตครูแหล่งใหญ่)
พบว่า มีเกรดเฉลี่ย ประมาณ 2.3 (สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ,
2540) นอกจากนี้
นักศึกษาครูมักไม่เลือกเรียนวิชาเอกที่เป็นสาขาขาดแคลน เช่น
สาขาทางด้านวิทยาศาสตร์
เพราะต้องใช้ความพยายามในการเรียนสูงกว่าสาขาวิชาทางด้านสังคมศาสตร์
(สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ, 2540)
2. รัฐลงทุนเพื่อการผลิตครูต่ำ
เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยในการผลิตบัณฑิตสาขาต่าง ๆ มีหลักฐานชัดเจนว่า
รัฐลงทุนเพื่อการผลิตครูต่ำกว่าวิชาชีพอื่น ๆ มาก (สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ,
2540) สถาบันผลิตครูส่วนใหญ่ จึงมีปัญหาความขาดแคลนปัจจัยที่จำเป็นต่อการผลิตครู
ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ขาดงบดำเนินการเพื่อพัฒนาคณาจารย์ และพัฒนาการเรียนการสอน
นอกจากนี้ การผลิตครูดำเนินการโดยสถาบันของรัฐทั้งหมด
ถึงแม้กฎหมายเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาผลิตครูได้
แต่ยังไม่มีเอกชนรายใดดำเนินการเพราะไม่คุ้มทุน
3. กระบวนการเรียนการสอนเน้นทฤษฏีมากกว่าเน้นการปฏิบัติจริง
ถ้าพิจารณาจากหลักสูตรการผลิตครูจะพบว่าหลักสูตรที่ใช้ในปัจจุบันเป็นหลักสูตรที่กำหนดจากส่วนกลางและผูกติดกับแนวคิดสากลมากกว่าท้องถิ่น
เน้นทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติจริง เน้นองค์ความรู้มากกว่าวิธีแสวงหาความรู้
วิชาที่สอนเป็นแบบแยกส่วน ขาดความเชื่อมโยงและบูรณาการ
มีผลให้ผู้เรียนไม่ได้พัฒนาทักษะและวิธีการมองปัญหาในเชิงองค์รวม
กระบวนการเรียนการสอนเพื่อผลิตครูยังเน้นครูเป็นศูนย์กลาง
เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้มากกว่าการส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้
รักที่จะเรียนรู้ อาจารย์ผู้สอนเป็นผู้กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนและการวัดผลฝ่ายเดียว
ผู้เรียนไม่มีส่วนร่วม และ
ที่สำคัญการจัดการเรียนการสอนขาดการประสานสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของท้องถิ่นและชุมชน
ทำให้นักศึกษาครูไม่สามารถเรียนรู้
และพัฒนาวิชาชีพครูให้เหมาะสมกลมกลืนกับวิถีชีวิตของสภาพแวดล้อม ได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ สื่อ นวัตกรรม
และแหล่งการเรียนรู้ในสถาบันผลิตครูไม่เอื้อให้นักศึกษาครู
แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเอง
การวัดผลและประเมินผลเน้นการสอบวัดเนื้อหาวิชาการมากกว่าการประยุกต์ใช้ความรู้ที่ชี้นำแนวความคิดและคุณลักษณะที่เหมาะสมกับการเป็นครูในอนาคต
และที่สำคัญ
หลักสูตรการผลิตครูไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อรองรับการผลิตครูรุ่นใหม่ซึ่งต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล
มีความพร้อมทั้งความรู้ในเนื้อหาวิชาการ ความสามารถในการชี้นำความรู้
มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และมีคุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งสามารถปรับใช้เทคโนโลยีในวิชาชีพได้
แนวทางการส่งเสริมและยกระดับวิชาชีพครู
แต่ละคนเป็นครูมานานแล้ว
แต่ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แจ้งให้คุณครูทุกท่านทราบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553
– 2555
ได้กำหนดให้ดำเนินการพัฒนาผู้บริหาร
ครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตามโครงการยกระดับคุณภาพครูทั้งระบบภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
โดยมีขั้นตอนและแนวทางในการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ดังนี้
1. การพัฒนาครูและบุคลาการทางการศึกษา ตามโครงการยกระดับคุณภาพทั้งระบบ ในปีงบประมาณ
พ.ศ. 2553 – 2555 ประกอบด้วยกิจกรรม 4 กิจกรรม คือ
1.1
การจัดระบบพัฒนาสมรรถนะครูรายบุคคล
1.2 พัฒนาครูดี ครูเก่ง
เพื่อเป็น Master
Teacher หรือ ครูแกนนำ
1.3
ยกระดับคุณภาพครู
รวมทั้งผู้บริหารการศึกษา
ผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาทุกคน
1.4
พัฒนาครูด้วยระบบ E-training
2. ขั้นตอนแรกในการพัฒนา ครู
ผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาทุกคนจะได้รับการประเมินสมรรถนะ
มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดระบบพัฒนาสมรรถนะรายบุคคลและดำเนินการพัฒนาให้เหมาะสมกับความรู้
ความสามารถและศักยภาพของแต่ละคนเพื่อพัฒนาให้สอดคล้องกับหลักสูตร โดยผลของการประเมินสมรรถนะ มิได้มีผลเสียต่อการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะ การพิจารณาความดีความชอบ
รวมทั้งมิได้มีผลเสียต่อสิทธิประโยชน์ที่พึงจะได้รับแต่อย่างใด
3. ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีผลการประเมินในระดับสูง
จะได้รับการพัฒนาโดยหลักสูตรที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสถาบันอุดมศึกษา กำหนดเพื่อให้เป็นแกนนำให้กับครู ตามกลุ่มสาระ
และช่วงชั้น
ในเขตพื้นที่การศึกษาที่สังกัด
4. ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีผลการประเมินในระดับปานกลางและระดับต้น
จะได้รับการพัฒนาตามหลักสูตรเพื่อยกระดับคุณภาพให้เป็นครูดี ครูเก่ง
มีคุณภาพ
โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร่วมมือกับกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพแต่ละระดับ ศูนย์พัฒนาตามกลุ่มสาระการเรียนรู้
และครูแกนนำ(Master Teacher ) โดยมีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสถาบันอุดมศึกษาให้การสนับสนุนด้านวิชาการ
5. หลักสูตรในการประเมินสมรรถนะและการพัฒนา
ประกอบด้วย 3 โมดุล
โมดุลที่ 1
ความรู้ตามเนื้อหาที่สอนรายกลุ่มสาระ
โมดุลที่ 2 สมรรถนะหลัก ประกอบด้วย
การมุ่งผลสัมฤทธิ์
การบริการที่ดี การพัฒนาตนเอง และการทำงานเป็นทีม
โมดุลที่ 3 สมรรถนะประจำสายงาน ประกอบด้วย
เทคนิคการสอน
การออกแบบการเรียนรู้
ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
การพัฒนาผู้เรียน
ห้องเรียนคุณภาพ 5 ด้าน
การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
ในระดับประถมศึกษา
เน้นในเรื่องของทักษะการอ่านคล่อง
เขียนคล่องและทักษะการคิดวิเคราะห์
จึงให้ครูในระดับประถมศึกษาเลือกประเมินและพัฒนาในสาระวิชาภาษาไทยและบูรณาการ หรือคณิตศาสตร์และบูรณาการ
ส่วนในระดับปฐมวัย
มัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนขยายโอกาส
และมัธยมศึกษาตอนปลาย
เลือกประเมินและพัฒนาตามกลุ่มสาระที่สอน
สำหรับวิธีการพัฒนาจะเป็นการพัฒนาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
จะจัดระบบให้มีการสร้างความเข้าใจในเบื้องต้นและดำเนินการพัฒนาควบคู่กับการเรียนการสอนในโรงเรียน จะไม่ทำให้เกิดปัญหานำครูออกนอกห้องเรียนเพื่อไปพัฒนายังหน่วยงานภายนอก
6. ในการประเมินสมรรถนะและพัฒนา
ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กำลังดำเนินงานประสานกับสถาบันอุดมศึกษาและเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการจัดทำแบบประเมินและหลักสูตรที่เหมาะสมกับการยกระดับคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
คาดว่าจะเริ่มดำเนินการประเมินสมรรถนะได้ในช่วงปลายพฤศจิกายน 2552 เป็นต้นไป
ส่วนการพัฒนาคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนธันวาคม 2552 และปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 (มีนาคม –
พฤษภาคม 2553)
ข้อมูลจากสพท.ชพ.1
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/315981
เกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู
มาตรฐานวิชาชีพครู
แนวทางการดำเนินงานที่กล่าวมาแล้วโดยเฉพาะ
การควบคุม และรักษามาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
เป็นเรื่องที่เพิ่มจะกำหนดให้มีการดำเนินงานครั้งแรกในวิชาชีพครู โดยกำหนดให้มีการกำหนดมาตรฐาน
วิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
กำกับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพ
มาตรฐานวิชาชีพครู เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับ
คุณลักษณะและคุณภาพที่พึงประสงค์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในการประกอบวิชาชีพครู
โดยผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องนำมาตรฐานวิชาชีพเป็นหลักเกณฑ์ในประกอบ
วิชาชีพคุรุสภาซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพครู ตาม
พ.ร.บ. ครู พ.ศ. 2488 ได้กำหนดมาตรฐานวิชาชีพครู
ไว้ 3 ด้าน กล่าวคือ
1. มาตรฐาน ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
2. มาตรฐาน ด้านการปฏิบัติงาน
3. มาตรฐาน ด้านการปฏิบัติตน
มาตรฐานด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
กำหนดไว้ ดังนี้
1) วุฒิปริญญาตรีทางการศึกษาที่สภาวิชาชีพรับรอง
หรือ
2) วุฒิปริญญาตรีทางวิชาการหรือวิชาชีพอื่น
และได้ศึกษาวิชาการศึกษาหรือฝึกอบรม วิชาชีพทาง การศึกษา มาไม่น้อยกว่า 24 หน่วยกิต
3) ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาที่สภาวิชาชีพรับรอง
และผ่านการประเมินกาปฏิบัติการสอนตามเกณฑ์ที่สภาวิชาชีพกำหนด
มาตรฐานด้านการปฏิบัติงาน
ได้แก่เกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ที่สภาวิชาชีพ (คุรุสภา) กำหนด ประกอบด้วย 12 เกณฑ์มาตรฐาน ดังนี้
มาตรฐานที่ 1
ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครูอยู่เสมอ
มาตรฐานที่ 2
ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียน
มาตรฐานที่ 3
มุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ
มาตรฐานที่ 4
พัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติให้เกิดผลจริง
มาตรฐานที่ 5
พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
มาตรฐานที่ 6
จัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเน้นผลถาวรที่เกิดแก่ผู้เรียน
มาตรฐานที่ 7
รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบ
มาตรฐานที่ 8
ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน
มาตรฐานที่ 9
ร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์
มาตรฐานที่ 10
ร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ในชุมชน
มาตรฐานที่ 11
แสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการพัฒนา
มาตรฐานที่ 12
สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ทุกสถานการณ์
มาตรฐานด้านการปฏิบัติตน
ได้แก่ตามจรรยาบรรณครู ที่สภาวิชาชีพ (คุรุสภา) กำหนด ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ ดังนี้
1) ครูต้องรักและเมตตาศิษย์
โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือส่งเสริมกำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า
2) ครูต้องอบรมสั่งสอน ฝึกฝน
สร้างเสริมความรู้ ทักษะ และนิสัยที่ครูต้องดีงามให้เกิดแก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถ
ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
3) ครูต้องประพฤติ
ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ ทั้งกาย วาจา และจิตใจ
4) ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความความเจริญทางกาย
สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์
5) ครูต้องไม่แสวงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติและไม่ใช้ศิษย์กระทำการใด
ๆ อันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ
6) ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาชีพ
ด้านบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม
และการเมืองอยู่เสมอ
7) ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครู
และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพครู
8) ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครู
และชุมชนในทางสร้างสรรค์
9) ครูพึงประพฤติ
ปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์ และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย
มาตรฐานวิชาชีพครู
จะเป็นหลักเกณฑ์สำคัญในการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมีสิทธิ ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
หรือการต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ โดยผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
จะต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรฐานวิชาชีพครู ดังกล่าวข้างต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น